ประวัติใบไม้สีทอง
อาจารย์สมมาตร์
ดารามั่น ผู้ริเริ่มนำใบไม้สีทองมาใส่กรอบเพื่อเป็นสินค้า OTOP เล่าให้ฟังว่า....เมื่อ 10
ปีกว่าที่แล้วได้ทราบเรื่องราวใบไม้สีทอง จากข้อมูลที่บันทึกโดย
ดร.ชวลิต นิยมธรรม ใบไม้สีทอง
เป็นพันธุ์ไม้ชนิดเดียวที่มีอยู่ในโลกและเกิดขึ้นในประเทศไทย ณบริเวณเทือกเขาบูโด
และเทือกเขาสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส
เป็นพันธุ์ไม้ที่มีเขตกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติบนเทือกเขาบูโดแต่ไม่มีใครให้ความสนใจและเห็นคุณค่า
จนกระทั่งคุณสมน้อย ภัทรเมธา หัวหน้าอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี
ได้นำใบไม้สีทองชนิดนี้ ถวายแด่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี
และมีพระมหากรุณาธิคุณดำริให้ฝ่ายพฤกษศาสตร์ของกรมป่าไม้ทำการวิเคราะห์ใบไม้ชนิดนี้แต่ในช่วงนั้นไม่สามารถที่จะวิเคราะห์หาข้อสรุปได้ว่าเป็นพันธุ์ไม้ชนิดใด
กรมป่าไม้จึงได้จัดส่งพันธุ์ไม้ขนิดนี้ไปทำการพิสูจน์ณ ประเทศเดนมาร์ก
ในที่สุดใบไม้สีทองก็ได้ถูกประกาศว่าพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ของโลกโดย ศาสตราจารย์ไค
ลาร์เสน Pros.KaiLasenm) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก
ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bauthiniaaureifpliaเมื่อปี พ.ศ. 25332
และต่อมาในปี 2535 จึงจดลิขสิทธิ์เป็นของประเทศไทยและเป็นที่รู้จักกันมาแต่นั้นมา...ใบไม้สีทองหรือชื่อพื้นเมืองเรียกกันว่า
“ย่านดาโอ๊ะ” เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่
มีมือเกาะม้วนงอเลื้อยขึ้นไปคลุมตามเรือนยอดของต้นไม้ใหญ่ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ
รูปเกือบกลม ปลายใบหยักเว้าเป็นแฉกลึก2 แฉก
โคนใบเว้าหยักคล้ายรูปหัวใจ รูปร่างคล้ายกับใบกาหลงหรือชงโค
แต่ขนาดใหญ่กว่าใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงหรือขนสีทองแดงเป็นมันคล้ายกำมะหยี่
ใบที่สมบูรณ์เต็มที่มีขนาด10*18 ซม. แต่เคยพบใหญ่ที่สุดกว่า 25
ซม.ใบมีสองชนิดคือกลุ่มใบสีเขียวทำหน้าที่สังเคราะห์แสงและกลุ่มใบสีทองซึ่งบริเวณปลายกิ่งขณะยังเป็นใบอ่อนมีสีม่วงแล้วค่อยๆ
เปลี่ยนเมื่อใบแก่ขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งใบแก่เต็มที่จะเป็นสีคล้ายสีทองแดงระยะสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นสีเงินแล้วจะทิ้งใบระยะที่จะเห็นใบเป็นสีทองชัดเจนในช่วงเดือน
มิถุนายน - กรกฎาคม ของทุกปี ต้นที่ปรากฏใบสีทองต้องมีอายุมากกว่า5 ปี
มีดอกสีขาวเกิดเป็นช่ออยู่บริเวณปลายกิ่งลักษณะคล้ายดอกเสี้ยวเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
2 ซม. ช่อหนึ่ง ๆ มีตั้งแต่ 10 ดอกขึ้นไป
มีกลิ่นหอม ออกดอกประมาณเดือนตุลาคม -กุมภาพันธ์มีผลเป็นฝักคล้ายฝักดาบ
มีขนสีน้ำตาลแดงคล้ายกำมะหยี่เช่นเดียวกับใบ ฝักหนึ่งๆ มีประมาณ 4-6 เมล็ด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น